การลงทุนจริง กับเป้าหมายที่มากกว่าเงินเฟ้อ

การลงทุนจริง กับเป้าหมายที่มากกว่าเงินเฟ้อ

ต่อจากบทความที่แล้ว วิธีการลงทุนแบบง่ายๆ ให้เอาชนะเงินเฟ้อ คราวนี้เราจะเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติจริง

เตรียมตัวเริ่มต้นปฏิบัติตามกฏ

  1. เตรียมสมุดจด หรือ ใช้ google docs ก็ไม่ว่ากัน
  2. ดูว่าเรามีเงินที่จะกันเอาไว้เล่น(เงินเย็น) สูงสุดได้เท่าไร โดยเงินนี้ต้องกันออกจากส่วนอื่น เอาไว้ใช้กับระบบนี้เท่านั้น ของผม ทดสอบ ด้วย 3 แสนบาท (ถ้าหุ้นลงไม่เยอะ จะใช้ไม่เต็มวงเงินครับ)
  3. กำหนดความเสี่ยง ว่าเราต้องการเสี่ยงมากแค่ไหน ผมแบ่งให้เป็นไม้ดังนี้ครับ 20-40 ไม้ เสี่ยงมาก 41-60 ไม้ เสี่ยงกลางๆ 61++ ไม้ เสี่ยงน้อย ลองเลือกเอาครับ ส่วนตัวผม กำหนด 60 ครับคือกลางค่อนน้อย
  4. เอาข้อ 2 หารด้วย ข้อ 3 กรณีผม ก็คือ 5000 สำหรับข้อนี้

เทคนิคเพิ่มเติม สำหรับการเลือก ข้อที่ 3 คือการดูราคาย้อนหลังประกอบ เช่น วันที่ผมเลือก ดัชนี set 50 อยู่ที่ 1064 จุด ผมมองว่า ถ้าหุ้นลง 1% จำนวน 60 ครั้ง (แน่นอนว่ามันไม่ใช่ 60% นะครับ มันแบบลดต้นลดดอกครับ) หุ้นจะเหลือประมาณ 588 จุด ซึ่งผมประเมินว่า ถ้าหุ้นลงไปแตะถึงจุดนั้นได้ ประเทศไทยคงแย่พอควรแล้วล่ะครับ ดังนั้น ข้อที่ 3 นี้ จึงอยากให้มองอดีตประกอบด้วยครับว่าจะเป็นอย่างไร ประกอบกับความเสี่ยงที่เรารับได้ แต่จริงๆแล้ว ถ้าหุ้นมันลงด้วยอัตราเร็วขนาดนั้นจริงๆ 60 ไม้ที่ผมมี ถ้าลงหมด ราคาหุ้นจะต่ำกว่า 588 จุดแน่นอนครับ เพราะว่า เวลาลงแรงๆ มันมีโอกาสที่ลงวันเดียว 10% ผมก็เคยเจอมาแล้วครับ (หรือวันละ 2-4% ต่อเนื่องกันหลายๆวัน) ดังนั้นผมเดาๆว่า 60 ไม้ผม น่าจะยืดมาได้ถึงหุ้นประมาณ 400 จุดได้เลย

ถ้าข้อ 4 คำนวนออกมาได้น้อยกว่า 1000 ไม่แนะนำให้เล่นนะครับ เพราะว่าถือว่าได้ค่อนข้างน้อยครับไม่คุ้มค่าเสียเวลา เอาเงินเก็บไว้ใน ตราสารหนี้ต่อไปดีกว่าครับ เพราะว่า ตามทฤษฏีผม 1% ของ 1000 มันคือ 10 บาทเองครับ ถ้าหักค่า commission อีก 0.5% ก็เหลือ 5 บาทต่อครั้งเท่านั้นเอง จริงๆ 5000 ของผมก็ไม่ได้ถือว่าเยอะ แต่ว่าเป็นเลขที่ทดสอบระบบเท่านั้นเองครับ

กฏมีอยู่ว่า

  1. ให้กำหนดจุดที่เริ่ม วันไหนก็ได้ ซื้อขึ้นมา 1 ไม้
  2. ทุกๆ 1% ที่หุ้นลง ให้ซื้อ 1 ไม้ ถ้าหุ้นลง 2% ก็ซื้อ 2 ไม้ (ตรงนี้ มีจุดพิจารณานิดเดียวคือ ถ้าดูแล้ว ลงแรงๆ ก็ซื้อไม้เดียวพอ แต่ยังไงถ้าเกิน 1% ให้ซื้อ 1 ไม้แน่นอน ยืนพื้น ย้ำว่าต้องซื้อ อย่าเดาตลาดครับ)
  3. ถ้าหุ้นลงต่อจากจุดเดิม 1% ก็ซื้อ 1 ไม้ แต่ถ้าขึ้นจาก จุดเดิมที่ซื้อไว้ 1% ก็ขาย 1 ไม้
  4. ทุกครั้งที่ซื้อ หรือ ขาย ต้องจดราคาและจำนวนไม้ที่ซื้อ ห้ามลืม ห้ามขาด ห้ามเกิน ไม่งั้นระบบจะรวน
  5. ทุกครั้งที่ขายออก ให้ทำเครื่องหมาย รายการที่เคยซื้อเอาไว้ เพื่อหักล้างกัน สมมุติว่า ผมซื้อครั้งแรกดัชนี 1000 ครั้งที่ 2  ดัชนี 990 (ลบ 1%)แล้วต่อมา ดัชนี้ขึ้นมาเป็น 999 ก็สั่งขาย (บวก 1%)แล้วทำเครื่องหมาย ราคาที่ซื้อ 990 เอาไว้ ว่าเราได้หักล้างออกไปแล้ว ก็คือ ขายไปในราคา 999 หรือก็คือ กำไร 1% นั่นเอง ดังนั้น ครั้งต่อไป ที่เราจะซื้อ ก็คือ ลบ1% จาก 1000 หรือ ขายเมื่อ บวก 1% จาก 1000 (จุดซื้อ) 

ตัวอย่างข้อที่ 5 เป็นแบบนี้ครับ
05/11/2013 (ซื้อ)967.41(ราคา)78.9055(จำนวน)5000

ต่อมาเวลาผ่านไป ได้จังหวะขาย
05/11/2013 (ซื้อ)967.41(ราคา)78.9055(จำนวน)5000
07/11/2013 (ขาย)975.97(ราคา)79.4003(จำนวน)5000

คือเราขายไม้ไหนออก ให้เราหักล้างมันออกไปด้วย เพื่อที่เราจะได้มองเห็นว่า ไม้ต่ำสุดที่เราถืออยู่ตอนนี้คือเท่าไรแน่ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เราจะเริ่ม งง ตัวเอง ว่าไม้ซื้อนี้ ถูกขายหักล้างไปหรือยัง

แค่นี้เองครับ กฏของผม เรียบง่ายมั้ยครับ ไม่ต้องซับซ้อนครับ สรุปคือลง 1% ซื้อ 1 ไม้ ขึ้น 1% ขาย 1 ไม้ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ สำหรับช่วงที่หุ้นลง มากกว่าวันละ 1% แล้วเราตามซื้อไม่ทัน อาจจะสงสัยว่า ซื้อทบได้หรือไม่ เช่น หุ้นลงไป 5% แต่เราพึ่งมาเห็น แบบนี้ต้องซื้อ 5ไม้ หรือไม้เดียว คำตอบผมก็คือ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงครับ การที่ซื้อตามครบ 5 ไม้จะเสี่ยงมากกว่า ซื้อไม้เดียวครับ แน่นอนว่า ผลตอบแทน ก็แตกต่างกันด้วย อันนี้คุณเลือกเอง

เริ่มต้นของจริง

ผมเลือก ลงทุนกับ กองทุน เพราะยังไงซะ ผมก็มีโอกาส ซื้อหรือขายแค่วันละครั้งเท่านั้น เพราะมีเวลาดูแค่วันละ 1-2 ครั้งเท่านั้นเอง อีกอย่าง กองทุนนี้ อ้างอิงกับดัชนี set50 ทำให้เปิดดูกราฟได้ ว่าวันนี้ ซื้อแน่ วันนี้ขายแน่ วันนี้ไม่ขยับไปไหน โดยไม่ต้องคำนวนอะไรมากเลย แล้วกราฟก็หาดูได้ตามเว็บทั่วๆไปเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น ผมเลือกกองทุนของ TMB ดัชนี SET50 หรือกองทุนนี้ ชื่อจริงมันคือ TMB50 ครับ อีกเหตุผลที่เลือกกองทุนนี้เพราะว่า เราสามารถกำหนดจำนวนเงินต่อไม้ของเราได้ เพราะเค้ากำหนดว่าซื้อครั้งแรก 2000 บาทขึ้นไป ครั้งต่อๆไป 1 บาท ดังนั้น เราจึงอิสระในการกำหนดจำนวนเงินต่อไม้ของเราได้ครับ และอีกเหตุผลก็คือ กองทุนนี้ยังเก็บค่าธรรมเนียมการซื้อ และ ขาย เพียงครั้งละ 0.1% เท่านั้น ถือว่าน้อยมาก รวมทั้งเหตุผลสุดท้ายก็คือ ดัชนี มี gap เพิ่มขึ้นในเชิงบวก คือ เมื่อปีที่แล้ว กองทุนนี้ มีผลงานสูงกว่าดัชนีหลัก 1% แต่ตอนนี้ สูงกว่าดัชนีหลัก 3.7% นั่นแปลว่า เวลาผ่านไป จะทำให้เราได้ กำไรเพิ่มขึ้นด้วยครับ

การเข้าซื้อไม้แรก หรือจุดเริ่มต้น

อยากเริ่มวันไหนก็เริ่มครับ สำคัญคือ เริ่มแล้ว ต้องจดบันทึก สำหรับผม วันแรกที่เริ่ม เป็นแบบนี้ครับ

ซื้อไม้แรก

ครับ ยังเป็นตัวเลขที่ขาดทุนมาจนถึงทุกวันนี้ 5555 แต่เป้าหมายก็คือ ผมจะจดเพื่อแบ่งแยกการซื้อขายออกจากกัน และยังใช้เพื่อการคำนวนด้วยครับ โดยผมจะจดดัชนีของวันนั้นเอาไว้อ้างอิงการซื้อขาย ครั้งต่อไป

ทีนี้ ลองมารันตามเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นครับไล่เรียงทีละบรรทัดเลย (แต่ผมไม่มีเครื่องมือดูราคาย้อนหลัง ทำให้จำไม่ค่อยได้แล้ว เกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนั้นหรือช่วงนั้น)

ประวัติการซื้อขาย

บรรทัดที่ 1 เป็นหัวข้อนะครับ ไม่นับ ข้ามไป (ผมจะเรียกว่าเป็นเบอร์ 1)
เบอร์ 2 เป็นการเข้าซื้อครั้งแรก
3 - 9 เป็นการซื้อตามไปเรื่อยๆ จนถึง 9 เป็นการซื้อ 2 ไม้
10 ขายออก 1 ไม้ ถ้าจำไม่ผิด ผมเห็นว่ามันเป็นทิศทางขึ้นยาวๆแน่ๆ เลยขายแค่ไม้เดียว อีกไม้รอขายวันถัดไป (หักล้างเบอร์ 9 ก็อาจจะใช้เทสีเผื่อแยกความแตกต่างก็ได้ว่าไม้นี้ขายแล้ว)
11 ขายออก เป็นไม้ที่ 2 ของ เบอร์ 9 ทีนี้ เบอร์ 9หักล้างกันครบแล้ว เราจะซื้อจุดซื้อสุดท้ายคือ เบอร์ 8 ที่ดัชนี 962.73
12 ขายออก เพราะว่าราคาขึ้นมาเกินกว่า 962.73ของเบอร์ 8 ผมก็เทสีเบอร์ 8 ตอนนี้จุดซื้อสุดท้ายขยับมาเป็นเบอร์ 7 ที่ดัชนี 989
13 ขายออก เพราะว่าดัชนีขึ้นมาเกิน เบอร์ 7 ผมก็เทสีไว้ที่เบอร์ 7 ตอนนี้เท่ากับ ดัชนี้สุดท้ายที่ผมซื้อเป็น 1005 ของเบอร์ 6 แล้ว
14 ผมซื้อ เพราะผมกะว่า ตลาดลงแล้ว น่าจะขึ้นอีก ถ้ามันขึ้น ผมก็จะมีต้นทุนต่ำเพราะมีทั้ง 1002 จุด และ 1005 จุดอย่างละไม่เลย >> นี่ถือเป็นความผิดพลาดครับ เพราะว่าผมไปคาดเดาตลาด เพราะเบอร์ 10 ผมเดาถูก เลยย่ามใจ คราวนี้ เดาอีก แต่พลาด
15 - 16 ตลาดลงมาเรื่อย ก็ซื้อตามมาเรื่อยครับ ตอนนี้ จุดซื้อต่ำสุดคือเบอร์ 16 ที่ 966.03
17 ขาย โดยหักล้างกับเบอร์ 16 ตอนนี้ จุดซื้อตำสุด ขยับมาเป็นเบอร์ 15 ที่ 986.13 จุด > มาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า ยังทำกำไรได้ แม้ว่าภาพรวมตลาดจะเห็นขาลง
18 -21 ซื้อยาวมาเลย เพราะว่าลงมายาวๆเหมือนกัน จริงๆ จุดนี้ผมพลาดไป ตรงที่เห็นว่าเป็นขายาว ผมเลยพักการเล่นไป
22 ขาย โดยหักล้างกับ 21 หลังจากที่พักไปช่วงนึง เพราะว่าเห็นมันลงยาว แล้วยุ่งๆด้วย ตอนนี้ผมก็เทสีเบอร์ 21 และถือจุดต่ำสุด เบอร์ 20 ที่ 919.82
23 ขาย หักล้างกับ 20
24 ขาย หักล้างกับ 19
25 ขาย 2 ไม้ หักล้างกับ 18 1 ไม้ 14 อีก 1 ไม้
26 ซื้อ 1 ไม้ เพราะเห็นว่ากระโดดลงมาเยอะมาก
27 ขาย 1 ไม้ หักวันที่ 26
28-29 ขายรวม 2 ไม้ ผมคิดว่า ตรงนี้ เป็นความผิดพลาดบางอย่าง มาดูย้อนหลัง งง ตัวเองเหมือนกัน ว่าขายทำไม 555 เหมือนว่า ตอนนั้นมีการขายบางครั้ง ที่ลืมหักล้างกันออกไป(ลืมเทสี) เลยพลาดมาขายออกเพื่อหักล้างอีกที  ตอนนี้ ก็เท่ากับว่า ผมมีต้นทุนซื้อ ต่ำสุดที่ 1028 เบอร์ 5 อยู่นะครับ
30-32 ก็กลับมาซื้ออีกรอบ เว้นไประยะหนึ่ง เพราะช่วงนั้นยุ่งๆครับ
ตามนี้ครับ ไล่เรียงไปเรื่อยๆเลย ตามที่ผมลงให้ครับ แต่บอกก่อนเลย ว่าหลายครั้ง ผมก็พลาด ลืมขายบ้าง ซื้อแล้วพลาดบ้าง เพราะลืมดูราคาเก่า หรือ ขายแล้วลืมหักล้างออก ส่วนใหญ่จะลืมขายมากกว่า เพราะว่า ยุ่งมากๆ ตั้งแต่ช่วงเดือน ตุลาคมเป็นต้นมา(เบอร์ 27) ผมย้ายบริษัท บริษัทใหม่นี้ งานเยอะมาก ช่วงแรกที่เริ่มทำงาน จำได้ว่า ทั้งเดือนที่ไปทำงาน มีสองวันเท่านั้น ที่ไม่ได้เข้าประชุม นอกนั้นประชุมตลอด และในประชุมผมจะไม่ได้จับโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์เลย ก็เลยพลาดโอกาสไปเยอะครับ ถ้าได้ติดตามมากกว่านี้ก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่านี้มากครับ

ทั้งนี้ สามารถดู version เต็มๆของ port ผมได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/spreadsheet/ccc?key=0AijL2AuwkekndHZET1RqOFRZYk5GQ3FxZjlTSDJuSVE&usp=sharing  (อันนี้ ของที่ผมใช้จริงๆนะครับ เลขจริงหมด) ยังไม่ได้ทำหน้าตาให้เรียบร้อยนะครับ (และคงไม่ทำ เพราะไม่มีเวลา 555) และผมไม่ได้ update real time นะครับ ดังนั้น อาจจะเจอว่า หลายวันเข้ามา update ทีหรือราคาที่ลงยังไม่ถูก เพราะผมลงราคาคร่าวๆไว้ก่อนเท่านั้น ค่อยมา edit ให้ถูกตามหลังครับ (คือจดซื้อขาย เอาไว้ก่อน เรื่องราคาค่อยใส่ตามทีหลัง) ทั้งนี้ ตัวเลขที่เป็น summary ต่างๆนั้น ผมทำเอาไว้เพื่อดูประมาณการณ์ความเป็นไปเท่านั้นนะครับ ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจอะไรเลย เพราะการตัดสินใจอิงจากราคาซื้อขาย ใน column B,C มากกว่า

แต่จากการซื้อขายของผม จะเห็นได้ว่า พยายามตามการซื้อขายในหลักการของเรา แต่บางช่วงยุ่งเกินกว่าจะได้ดู ระบบก็ยังคงเดินต่อไปได้ และไม่ได้ขาดทุนไปมากเท่าไรนัก(แปลว่าสามารถพักการ trade ได้หากเราไม่ว่าง แต่ว่า ตลาดจะยังคงเดินต่อไป ก็อย่าพักนานแล้วกันครับ) ระบบนี้ มีระยะเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือเมื่อเราทำตามระบบไปเรื่อยๆ ยิ่งนานวันเข้า กำไรแฝงในระบบจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เมื่อถึงวันหนึ่ง เราไม่ได้ลงทุนด้วยตัวเอง แต่เรากลับมีหุ้นโดยเป็นหุ้นเปล่าทั้งหมด คือเหมือนได้มาฟรีเลยครับ

และยังมีความดีความชอบอีกอย่างนึง ที่ต้องยกให้กับ TMB50 ด้วย เพราะว่า เค้าบริหารให้ performance ดีกว่าตลาดด้วยครับ คือวันที่ผมซื้อไม้แรก ตอนนั้น เค้า performance ดีกว่าตลาดอยู่ 1% แต่วันนี้ performance เค้าดีกว่าตลาด 3% แต่ถ้านับ วันนั้นถึงวันนี้ ก็ยังคงติดลบ 13% อยู่นะครับ(ตามแนวโน้มตลาด) เพียงแต่เค้าบริหารให้ช่องว่างมันมากขึ้นในเชิงที่ลูกค้าได้กำไรครับ เข้าใจว่าเป็นเพราะเงินปันผลที่กลับเข้ามาในกองทุน เพราะว่ากองทุนนี้ ไม่จ่ายเงินปันผล ดังนั้น เงินปันผลที่ได้จึงวนกลับเข้ามาในระบบ ทำให้ราคาของกองทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ

สรุปผลอย่างเป็นทางการ สำหรับ port ตัวอย่าง

ตอนนี้ ผมยังมีเงินลงทุนค้างในระบบ 40,000 บาท ต้นทุนเฉลี่ยกรณีที่คิดว่าซื้อทบมาเรื่อยๆ (โดยไม่หักราคาขาย และไม่ถ่วงน้ำหนักการซื้อ) จะเป็น 945 จุด แม้ว่าตอนนี้ ดัชนีตลาด ยังคงเป็น 928 จุด แต่ port ผมกำไรแล้ว 2.7 % ของเงิน 40,000 บาทนี้(ตามรายงานของ กองทุน TMB)  แต่ว่า ระบบนี้ จริงๆแล้วจะตีมูลค่าเป็นตัวเงิน กำไรหรือขาดทุน เป็นบาท หรือ เป็น % ตรงๆไม่ได้ แต่ผลตอบแทนที่เราได้รับอยู่ในรูปของ จำนวนหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้น เช่น ผมซื้อ 10 ครั้ง ผมได้มา 100 หน่วย แต่ว่า ผมทำตามระบบไปเรื่อยๆ ผ่านไป 1 ปี เมื่อผมขายเพื่อเอาต้นทุนออกหมด (เอาเงินที่ลงทุนไปคืนมาหมด) แต่ผมจะยังมีเหลือหน่วยลงทุนอีก 17 หน่วยอะไรแบบนี้ นี่คือผลตอบแทนครับ ถ้าเป็น port ผมจริงๆที่ทดสอบนี้ ประมาณว่า ได้หน่วยลงทุน TMB50 มาฟรีๆแล้ว 18.95 หน่วย (อิงราคาวันศุกร์ที่ผ่านมานะครับ) ซึ่งถ้าราคามันเพิ่มไปอีก ผมก็ได้กำไรเพิ่มไปอีก จากมูลค่าหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้น และในตอนนี้ผมก็ถือต้นทุนต่ำสุดอยู่ที่ 928.98 ซึ่งใกล้เคียงกับที่ตลาดปิดไปเมื่อวาน ดังนั้นถ้าหุ้นจะลงต่อ ผมก็ซื้อต่อได้ ถ้าหุ้นจะขึ้นต่อ ก็ตามขายได้เหมือนกัน ตามระบบต่อไปครับ

และระบบนี้ จะทำให้ได้หน่วยลงทุนแฝงเพิ่มขึ้นมากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ทำตามระบบได้สำเร็จครบวงรอบครับ ยิ่งเราทำวงรอบ คือขาย หัก ซื้อ ได้จำนวนรอบมากเท่าไร (ก็รอบละ 1% หรือ 0.8% ถ้าหักค่าธรรมเนียม) มูลค่าหน่วยลงทุนแฝงที่เราได้รับ ก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย โดยที่มันไม่ได้เกี่ยวเลย ว่าตลาดนั้นจะเป็นขาขึ้น หรือขาลง จะขึ้นสั้น หรือ ลงยาว ขอเพียงขยับไปมาเรื่อยๆ มากกว่า 1% เท่านั้นก็มากพอแล้วครับ เพราะถ้าลองดูราคาหุ้นจริงๆ แม้ว่าเป็นช่วงที่หุ้นเป็นขาลงเลยแต่มันก็มีระยะขึ้นสั้นๆอยู่ในนั้นด้วยครับ (ใครจะรู้ล่ะ ขึ้นสั้นๆครั้งนั้นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นขึ้นยาวก็ได้)

ตอนนี้ step ต่อไปของผมก็คือ ดูระบบไปให้ครบปีก่อน ถ้าไม่ได้มีอะไรผิดพลาดเหนือความคาดหมาย แล้วอาจจะ exit clear port เพื่อปรับวงเงินให้เป็นไม้ละ 10,000 บาทแทนครับ

ถ้าเริ่มต้นแล้วเป็นขาขึ้นล่ะ?

ถ้าเริ่มต้นไม้แรก แล้วหุ้นขึ้น จนเมื่อถึงจุดขาย ก็ขาย แล้วทำให้ port ว่าง ทำอย่างไรต่อ > ไม่ยากครับ หุ้นเวลามันขึ้น มันไม่ขึ้นรวดเดียวแตะยอดแล้วจบ มันจะมีช่วงขึ้นลงขึ้นลง ก็ลองดูครับ ช่วงหุ้นขึ้น แล้ว port เราว่างอยู่ วันไหนที่หุ้นลง ก็เป็นวันที่เข้าซื้อไม้แรกนั่นล่ะครับ ระบบนี้ อาจจะทำให้รู้สึกเหมือนติดดอย ในกรณีที่หุ้น ลง แล้วลงต่อ ไม่กลับมาขึ้นอีก แต่อย่าลืม ว่าใครจะรู้ล่ะ ว่าพรุ่งนี้ มันจะขึ้นหรือลง เพราะมันคือธรรมชาติของหุ้นครับ แต่ถ้าเราทำตามระบบ กำไรแฝงมันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนั่นเองครับ ผมเองก็ซื้อตอน peak เช่นกัน แต่ถึงวันนี้ผมก็ยังกำไรได้ครับ แม้ว่าไม้แรกที่ซื้อ ยังไม่เคยได้ขายหักล้างออกไปเลยก็ตาม

ข้อจำกัด สำหรับระบบนี้

ไม่ใช่ว่าจะ perfect ครับ เพราะว่ามันมีข้อจำกัดแน่นอน ดังนี้

  • ใช้กับหุ้นไม่ได้ ถ้าเงินไม่หนาพอ เพราะว่า หุ้นราคาแพงครับ แต่ TMB50 นี่เรากำหนดได้ ว่าไม้ละกี่บาทก็ได้ (แต่ครั้งแรก ต้อง 2000 บาทขึ้นไป)
  • ระวังค่าธรรมเนียม เพราะหุ้น มีค่าธรรมเนียม การซื้อ และ การขาย ที่สูงมาก(ขึ้นอยู่กับ broker) ยังไม่นับรวม ภาษีที่ต้องถูกหักเมื่อได้กำไรอีก โดยตอนนี้ TMB50 หักค่าธรรมเนียม 0.1% เท่านั้น ดังนั้น 1 วงรอบ ขายหักซื้อ เราจะเหลือกำไรจริง 0.8% ครับ (แต่ TMB50 บอกว่า อาจจะหักได้สูงถึง 0.3% แต่ตอนนี้ขอหักเพียง 0.1% อยู่ครับ ถ้าขึ้นเมื่อไร เราค่อยมองหาตัวใหม่ครับ ในตลาดมีอีกหลายตัว)
  • ระวังสินทรัพย์ที่เลือก มีสภาพคล่องต่ำ เพราะซื้อแล้วอาจจะขายไม่ได้ ขายแล้วอาจจะซื้อไม่ได้ แม้ว่าถึงจังหวะก็ตาม
  • อย่าหลงกับดัก port ขาดทุน เมื่อหุ้นลง ระบบนี้ ไม่ควรมอง ผลตอบแทนรวม ว่าตอนนี้ ขาดทุนเท่าไร กำไรกี่% อะไรแบบนี้ เพราะมันไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนั้น เพราะอย่างตัวอย่างของผม ถ้าคำนวนราคาซื้อเฉลี่ย ยัง 945 อยู่เลย แต่วันนี้ ดัชนี 928 ก็มีกำไรได้แล้ว ดังนั้น เลขเหล่านั้นอย่าไปสนใจ สนใจเพียงแค่ว่า กำไรครั้งนึง ให้ได้มากกว่า 1% ขึ้นไปครับเท่านั้นพอ
  • อย่าโลภ เช่น วันนี้ ดูแล้ว ถึงจุดขาย แต่กะว่าพรุ่งนี้ ขึ้นอีกแน่ๆ ก็เลยรอขายพรุ่งนี้ดีกว่า แต่ความจริงคือ เราอาจจะไม่ได้ขายไม้นั้นอีกเลย ของผมเองก็โดนไปหลายครั้งเหมือนกัน ความโลภเข้าครอบงำครับ เสียโอกาสปิดรอบเลย
  • ไม่ทำให้รวย ระบบนี้ เหมาะสำหรับคนมีเวลาน้อย แต่ความเสี่ยงต่ำ ในขณะที่ได้ผลตอบแทนพอใช้ได้ ดังนั้น ระบบนี้ ไม่เหมาะกับคนที่มีเวลาเฝ้าหน้าจอทั้งวันเพื่อ trade ทำกำไรครับ มีกระบวนการอื่นได้กำไรเยอะกว่า
  • ไม่ใช่การเล่นแบบ graph technic, และไม่ใช่แบบ VI แต่ทำตามระบบไปเท่านั้น
  • ระวังเงินหมดหน้าตัก จนไม่เหลือสภาพคล่อง จะส่งผลให้การทำตามระบบเป็นไปไม่ได้ ก็คือไม่มีกำไรเกิดขึ้นในระบบนี้อีก แล้วจะถูกแช่แข็งทันที ผมแนะนำว่า เงินเย็นที่กันเอาไว้ในระบบนี้ อาจจะเอามาลงจริง 90% พอเมื่อหมด90% ก็หยุด เพราะคงมีอะไรผิดพลาดแล้ว แล้วรอเมื่อตอนที่ตลาดอยู่ในช่วงนิ่งๆยาวๆ (เมื่อสงครามสงบ ก็จะเป็นช่วงนับศพทหาร) ก็ค่อยเอา 10% นี้มาทำตามระบบต่อ (อย่างที่บอก ระบบนี้ไม่แนะให้ดูกำไรขาดทุนรวม เพราะมันไม่ใช่เป้าหมายหลักของระบบ)

ทิ้งท้าย

แนะนำว่าให้ลองกับ simulation นะครับ มีหลายระบบ ที่ให้เราทดสอบการซื้อขายเหมือนของจริง เช่น settrade เวลาสมัครสมาชิกแล้ว login เค้าจะมี virtual port คือมีเงินจำลองให้เราได้ลอง trade ด้วยครับ เราก็ลองจำลองระบบ กับเงินจำลองในนั้นก็ได้ครับ เพื่อลดความเสี่ยง มั่นใจแล้วค่อยกำหนดตัวเงินแล้วลองทุนอีกครั้งครับ

ย้ำอีกที การลงทุน ก็ล้วนแต่มีความเสี่ยงทั้งนั้น เสี่ยงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณเข้าใจมันดีแล้วหรือยัง คิดถึงมันได้อย่างรอบคอบแล้วหรือยัง อย่างของผม ก็คิดอยู่เป็นอาทิตย์เหมือนกัน และในช่วงแรกที่เริ่มทำก็ยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไรปรับไปมาบ้างจนตอนนี้ถือว่าลงตัวแล้ว และยังไม่คิดว่าจะมีอะไรมากระทบแรงๆได้อีก อาจจะเพราะผมเคยผ่านช่วงตลาดหุ้น set 300 กว่าจุดมาแล้วด้วยล่ะมั้งครับ ก็เลยลดความกลัวไปได้มาก

Create: Modify : 2014-03-16 11:35:48 Read : 7686 URL :